บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก มีนาคม, 2023

แต่ที่สุด

 แต่ที่สุด

แต่ที่สุด

 แต่ที่สุด

แต่ที่สุด

 แต่ที่สุด

แต่ที่สุด

 แต่ที่สุด

วันนี้

 วันนี้

เดือนที่ผ่านมา 22

 เดือนที่ผ่านมา 22

เดือนนี้ 1

 เดือนนี้ 1

แต่ที่สุด

 แต่ที่สุด

วันนี้

 วันนี้

วันนี้

 วันนี้

เดือนที่ผ่านมา 22

  เดือนที่ผ่านมา 22

เดือนนี้ 1

  เดือนนี้ 1

วันนี้

  วันนี้

ออสเตรเลีย 1

 ออสเตรเลีย 1

แต่บ่ที่สุด

 แต่บ่ที่สุด

กะดีอยู่ดอก

 กะดีอยู่ดอก

ออสเตรเลีย 1 ไทย 1

  ออสเตรเลีย 1 ไทย 1

เดือนนี้ 1

  เดือนนี้ 1

วันนี้ 1

  วันนี้ 1

พระพุทธศาสนา

  พระพุทธศาสนา

ผมกะบ่มีอะไรมาก

 ผมกะบ่มีอะไรมาก

ก็จัดการเลย

 ก็จัดการเลย

อะไรดี

 อะไรดี

เกินวิชาที่มีอยู่

 เกินวิชาที่มีอยู่

ออสเตรเลีย 1 ไทย 1

  ออสเตรเลีย 1 ไทย 1

ออสเตรเลีย 1 ไทย 1

  ออสเตรเลีย 1 ไทย 1

เดือนที่ผ่านมา 22

  เดือนที่ผ่านมา 22

ได้ธรรม

 ได้ธรรม

เบื่อจริงๆ

 เบื่อจริงๆ

เบื่อจิต

 เบื่อจิต

กราบแบบเบญจางคประดิษฐ์

 กราบแบบเบญจางคประดิษฐ์

ที่ขอนแก่น

 ที่ขอนแก่น

ติดต่อขอรับได้

 ติดต่อขอรับได้

เด้อ

  เด้อ

สาธุสุทธุสังวริสสามิ

 สาธุสุทธุสังวริสสามิ

ผลก็เป็นอย่างนี้

 ผลก็เป็นอย่างนี้

ในเมื่อมันดีที่สุด

 ในเมื่อมันดีที่สุด

ผลก็เป็นอย่างนี้

 ผลก็เป็นอย่างนี้

ในเมื่อมันไม่ดีที่สุด

 ในเมื่อมันไม่ดีที่สุด

จบแล้ว

 จบแล้ว

จบแล้ว

 จบแล้ว

จำ

 จำ

ไทย 20 ออสเตรเลีย 1

  ไทย 20 ออสเตรเลีย 1

ไทย 20 ออสเตรเลีย 1

  ไทย 20 ออสเตรเลีย 1

ไทย 20 ออสเตรเลีย 1

  ไทย 20 ออสเตรเลีย 1

อรหันต์

 อรหันต์

ฆราวาสเป็นอนาคา

 ฆราวาสเป็นอนาคา

ไทย 20 ออสเตรเลีย 1

  ไทย 20 ออสเตรเลีย 1

วันนี้ 1

  วันนี้ 1

จบแล้ว

 จบแล้ว

จบ

 จบ

ไทย 20 ออสเตรเลีย 1

  ไทย 20 ออสเตรเลีย 1

ไทย 20

  ไทย 20

ออสเตรเลีย 1

  ออสเตรเลีย 1

https://www.blogger.com/blog/statspost/week/7092713422459262571/7527674076676336911

 https://www.blogger.com/blog/statspost/week/7092713422459262571/7527674076676336911

https://www.blogger.com/blog/statspost/week/7092713422459262571/3468964151017147147

 https://www.blogger.com/blog/statspost/week/7092713422459262571/3468964151017147147

เดือนที่ผ่านมา 11

  เดือนที่ผ่านมา 11

เดือนนี้ 22

  เดือนนี้ 22

เมื่อวานนี้ 0

  เมื่อวานนี้ 0

วันนี้ 1

  วันนี้ 1

ไทย 20 ออสเตรเลีย 1

  ไทย 20 ออสเตรเลีย 1

ไทย 20 ออสเตรเลีย 1

  ไทย 20 ออสเตรเลีย 1

บรรลุธรรม

 บรรลุธรรม

ไทย 20 ออสเตรเลีย 1

  ไทย 20 ออสเตรเลีย 1

ไทย 20 ออสเตรเลีย 1

  ไทย 20 ออสเตรเลีย 1

เดือนที่ผ่านมา 11

  เดือนที่ผ่านมา 11

บรรลุคุณธรรม

 บรรลุคุณธรรม

เดือนนี้ 22

  เดือนนี้ 22

วันนี้ 1

  วันนี้ 1

• เผยแพร่ธรรมะให้เพื่อนมนุษย์ • ขอให้ท่านทั้งหลายพบเจอแต่ความดี พ้นจากทุกข์

  • เผยแพร่ธรรมะให้เพื่อนมนุษย์ • ขอให้ท่านทั้งหลายพบเจอแต่ความดี พ้นจากทุกข์

บรรลุคุณธรรมชั้นสูงสุด

 บรรลุคุณธรรมชั้นสูงสุด

บรรลุคุณธรรมชั้นสูงสุด

 บรรลุคุณธรรมชั้นสูงสุด

ไทย 20

  ไทย 20

ไทย 20

  ไทย 20

อนาคามี

 อนาคามี

อาคามี

 อาคามี

ปฏิจสมุปบาท

 ปฏิจสมุปบาท

อริยสัจสี่

 อริยสัจสี่

อนาคา

 อนาคา

โสดาบัน

 โสดาบัน

เศษดินปลายเล็บ

 เศษดินปลายเล็บ

ตลอดไป

 ตลอดไป

จบ

 จบ

ตลอดไป

 ตลอดไป

แล้วแล้ว

 แล้วแล้ว

จบแล้ว

 จบแล้ว

ตลอดไป

 ตลอดไป

เปรียบเทียบลำดับการทรงอารมณ์ฌานตั้งแต่ ปฐมฌานถึงจตุถฌาน ของวิธีการฝึกแบบอานาปานสติและพุทธานุสติดังนี้ พุทธานุสติ โดยมีหลักการ คือ การบริกรรมระลึกถึง คำว่า “พุทโธ” เป็นสติ ปฐมฌาน มีอารมณ์ฌานดังนี้ วิตก วิจารณ์ ปีติ สุข เอกัคคตา โดย วิตก คือ บริกรรมคำภาวนาในใจตลอด วิจารณ์ คือ มีอารมณ์เคล้าคลึงแนบแน่นเป็นหนึ่งเดียวกับคำภาวนานั้น ปีติ คือ มีความเอิบอิ่มใจ เกิดอาการซาบซ่านทางกาย เช่น รู้สึกขนลุกซู่ มีอาการทางกายในรูปแบบต่างๆ เช่น ตัวโยก ตัวเบา ตัวลอย สุข คือ มีความสุขใจตลอด เกิดแต่สุขเวทนาโดยถ่ายเดียว ใจไม่เป็นทุกข์กับเหตุการณ์ใดๆเลย เอกัคคตา มีอารมณ์แนบแน่นเป็นหนึ่งเดียวกันกับสมาธิ และมีอุเบกขาแลสติตั้งอยู่ ผู้ที่ได้ปฐมฌานจะมีอารมณ์ตรึกนึกคิดในคำภาวนานำก่อนเสมอ ทุติยฌาน มีอารมณ์ฌานดังนี้ ละวิตกและวิจารณ์ได้ คงเหลือแต่ ปีติ สุข และ เอกัคตา ก็คือจะมีลักษณะของอารมณ์ฌาน คือ คำภาวนาหาย คงเหลือแต่ ความอิ่มใจ รู้สึก เบากาย เบาใจ มีความสุขใจ และมีอารมณ์เป็นหนึ่งเดียว แลมีอุเบกขาคือความเป็นกลาง วางเฉยต่อสิ่งต่างๆรอบตัวแลมีสติตั้งอยู่ ผู้ที่ได้ ทุติยฌาน จะมีลักษณะของอารมณ์ ระลึกถึง อาการความปีติทางกายก่อนเสมอ เช่น ระลึกถึงอารมณ์ที่มีความขนลุกขนพองทางกาย เสมือนคนที่พึ่งตื่นมาในตอนเช้ามืดแล้วสัมผัสกับอากาศที่หนาวเย็นในหน้าหนาว ระลึกถึงอาการที่ได้อาบน้ำตอนเช้ามืด หรือระลึกถึงอาการทางกายที่ได้นั่งอยู่ในห้องแอร์ แล้วเกิดความรู้สึกอิ่มกายอิ่มใจ อาการที่รู้สึกเหมือนกับว่าพึ่งกินข้าวอิ่มใหม่ๆ อย่างนี้เป็นต้น นักปฏิบัติธรรมบางรายบางท่านอยู่ได้เป็นเดือนๆโดยไม่ต้องกินข้าวเลย เพราะอาศัย เสพปีติเป็นอาหาร ยกตัวอย่างเช่น นักบวช ฤาษี ในสมัยก่อน หรือ พระสายอรัญวาสี(พระป่ากรรมฐาน) (ตัวข้าพเจ้าเองสมัยก่อนตอนบวชพระเมื่อ 19 ปีก่อนก็ยังเคย งดฉันอาหาร เป็นเวลา 11 วัน ช่วงเร่งความเพียรทางใจ) ตติยฌาน มีอารมณ์ฌานดังนี้ ละ วิตก วิจารณ์ และ ปีติ ได้ คงเหลือแต่ สุข และ เอกัคตา ก็คือ จะมีลักษณะของอารมณ์ฌาน คือ อาการชุ่มชื่น ขนลุกชูชัน กายฟู ใจฟู อาการอิ่มกาย อิ่มใจ ทุกๆอาการที่ว่ามาทั้งหมดที่เป็น ปีติ จะหายไป แต่จะมีความรู้สึก เป็นสุข ทางกาย และเป็นสุขทางใจ โดยเฉพาะความรู้สึกสุขใจ จะเห็นเด่นชัดมาก มันเป็นอารมณ์และความรู้สึกสุขที่ละเอียดอ่อนมาก ส่วนใหญ่พระอริยะแต่ละท่านมักจะติดสุขจากฌานนี้กันมาก เพราะตติยฌานนี้ได้ชื่อว่าเป็นฌานอันเป็นที่รักของ พระอริยะ ทั้งหลาย ยกตัวอย่าง หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ ท่านเองยังเคยติดสุขในสมาธิอยู่ถึง สิบกว่าปี ผู้ที่ได้ ตติยฌาน เป็นอารมณ์นั้น จะมีลักษณะของอารมณ์คือ ระลึกถึงความสุข กาย สุขใจ เป็นอารมณ์ ไม่ค่อยจะยินดียินร้ายกับอะไรทั้งหลาย ใครจะว่าอะไรก็ดีไปหมด เกิดเหตุการณ์อะไรร้ายแรงในชีวิตก็ว่าดีไปหมด เห็นใครทำอะไรให้ที่ไม่กีใส่ไม่ว่าเขาจะตั้งใจกรือไม่ตั้งใจก็ดี ก็มองว่าดีไปหมด ไม่ใคร่จะมีอารมณ์ยินร้ายกับเรื่องใดๆ ไม่เสียใจ แม้จะมีสิ่งไม่ดีเกิดขึ้น คือจะมองว่าดีไปหมดแล้วก็สุขใจอย่างเดียว ระลึกถึงความสุขใจเป็นที่ตั้ง ตลอดเวลา ( ตัวข้าพเจ้าเองตอนสมัยบวชเป็นพระเมื่อ 19 ปี ที่แล้วก็เคยเป็นเหมือนกัน มีความสุขใจตลอดทั้งวันทั้งคืน มองทุกสิ่งในแง่ดีหมด) จตุถฌาน มีอารมณ์ฌานดังนี้ คือ ละวิตก วิจารณ์ ปีติ สุข ได้ คงเหลือแต่ เอกัคตาและอุเบกขา มีอารมณ์ใจเป็นหนึ่งเดียวแน่วแน่ จะคิด จะพูด จะทำอะไร มีอารมณ์ใจเป็นหนึ่งเดียวตลอด ไม่มีวอกแวกไปทางใด แม้จะไม่มีอารมณ์ใจให้ไปทำอะไร คิด พูด หรือ ทำอะไร ก็จะทรงอารมณ์อยู่ที่ อารมณ์ใจหนึ่งเดียวคือมีอารมณ์ใจหนึ่งเดียวในอุเบกขา จะนิ่ง เฉยตลอด มีอิริยาบถทุกอย่างด้วยอารมณ์ใจที่นิ่งเป็นหนึ่งเดียวในอุเบกขา หรือ ถ้าไล่ลำดับญานก็จะอยู่ในช่วงของ “สังขารุเปกขาญาณ” ผู้ที่ได้จตุถฌานเป็นอารมณ์นั้น จะมีอารมณ์ดังนี้ คือ ระลึกถึงอารมณ์อันเป็นหนึ่งเดียวในกายและใจเป็นอารมณ์ โดยมีอารมณ์อุเบกขาเป็นที่ตั้ง จะทำการสิ่งใดก็ไม่ใคร่จะมีความรู้สึก ยินดี ยินร้าย กับเรื่องใดๆ ไม่มีอารมณ์คิดปรุงแต่งเมื่อมี ผัสสะเข้ามากระทบกับอายตนะทั้งหลาย เช่น ตาเห็นรูป แต่ไม่คิดปรุงแต่ง หูได้ยินเสียงแต่ไม่คิดปรุงแต่ง จมูกได้กลิ่นแต่ไม่คิดปรุงแต่ง ลิ้นลิ้มรสแต่ไม่คิดปรุงแต่ง กายสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งแต่ไม่คิดปรุงแต่ง อย่างนี้ เป็นต้น ผู้ที่อยู่ในอารมณ์ของจตุถฌานนี้ จะมีอารมณ์เป็นหนึ่งเดียวในเอกัคตารมณ์โดยมีพื้นฐานตั้งมั่นในอารมณ์อุเบกขาแต่มีสติรู้ตัวตลอดเท่านั้น อานาปานสติ โดยมีหลักการ คือ การระลึกถึง ลมหายใจเข้าออก เป็นสติ ปฐมฌาน มีอารมณ์ฌานดังนี้ วิตก วิจารณ์ ปีติ สุข เอกัคคตา โดย วิตก คือ การระลึกถึง ลมหายใจเข้าออกอย่างมีสติ ตลอดเวลา วิจารณ์ คือ มีอารมณ์เคล้าคลึงแนบแน่นเป็นหนึ่งเดียวกับ ลมหายใจเข้าออกนั้น ปีติ คือ มีความเอิบอิ่มใจ เกิดอาการซาบซ่านทางกาย เช่น รู้สึกขนลุกซู่ มีอาการทางกายในรูปแบบต่างๆ เช่น ตัวโยก ตัวเบา ตัวลอย ลมหายใจเข้าออกเริ่มเบาลงเรื่อยเรื่อย และเริ่มละเอียดขึ้น สุข คือ มีความสุขใจตลอด เกิดแต่สุขเวทนาโดยถ่ายเดียว ใจไม่เป็นทุกข์กับเหตุการณ์ใดๆเลย ลมหายใจเข้าออกละเอียดกว่าปิติและเบากว่าปิติ เอกัคคตา มีอารมณ์แนบแน่นเป็นหนึ่งเดียวกันกับสมาธิ และมีอุเบกขาแลสติตั้งอยู่ ลมหายใจเข้าออกแทบจะไม่มีเลย ไม่รู้สึกถึงลมหายใจเข้าออก ผู้ที่ได้ปฐมฌานจะมีอารมณ์ ระลึกถึงลมหายใจเข้าออก นำก่อนเสมอ ตั้งแต่ทุติยฌานจนถึงจตุถฌานจะมีลักษณะคล้ายคลึงกับพุทธานุสติเกือบทุกอย่าง แตกต่างกันเพียงแค่ทุติยฌานนั้น ลมหายใจเข้าออกจะเริ่มเบาลงและละเอียดขึ้น ส่วนตติยฌานนั้นลมหายใจเข้าออกเบาลงมากและละเอียดขึ้นมากและ จตุถฌาน นั้นลมหายใจเข้าออกแทบไม่มีเลยคือไม่รู้สึกถึงลมหายใจเข้าออกอีกเลย หรือจะเรียกว่า ลมดับลมหายก็ได้ อารมณ์ฌานทุกๆฌานนี้ นักปฎิบัติ สามารถ ทรงอารมณ์ได้ทุกฌานควบคู่กับ การใช้ชีวิตประจำวันเพียงแต่ว่าจะต้องเป็นการ ทรงอารมณ์ฌาน ในทาง สัมมาฌาน สัมมาทิฏฐิ สัมมาสมาธิ คือต้องดำเนินตามมรรคแปดเท่านั้น

  เปรียบเทียบลำดับการทรงอารมณ์ฌานตั้งแต่ ปฐมฌานถึงจตุถฌาน ของวิธีการฝึกแบบอานาปานสติและพุทธานุสติดังนี้ พุทธานุสติ โดยมีหลักการ คือ การบริกรรมระลึกถึง คำว่า “พุทโธ” เป็นสติ ปฐมฌาน มีอารมณ์ฌานดังนี้ วิตก วิจารณ์ ปีติ สุข เอกัคคตา โดย วิตก คือ บริกรรมคำภาวนาในใจตลอด วิจารณ์ คือ มีอารมณ์เคล้าคลึงแนบแน่นเป็นหนึ่งเดียวกับคำภาวนานั้น ปีติ คือ มีความเอิบอิ่มใจ เกิดอาการซาบซ่านทางกาย เช่น รู้สึกขนลุกซู่ มีอาการทางกายในรูปแบบต่างๆ เช่น ตัวโยก ตัวเบา ตัวลอย สุข คือ มีความสุขใจตลอด เกิดแต่สุขเวทนาโดยถ่ายเดียว ใจไม่เป็นทุกข์กับเหตุการณ์ใดๆเลย เอกัคคตา มีอารมณ์แนบแน่นเป็นหนึ่งเดียวกันกับสมาธิ และมีอุเบกขาแลสติตั้งอยู่ ผู้ที่ได้ปฐมฌานจะมีอารมณ์ตรึกนึกคิดในคำภาวนานำก่อนเสมอ ทุติยฌาน มีอารมณ์ฌานดังนี้ ละวิตกและวิจารณ์ได้ คงเหลือแต่ ปีติ สุข และ เอกัคตา ก็คือจะมีลักษณะของอารมณ์ฌาน คือ คำภาวนาหาย คงเหลือแต่ ความอิ่มใจ รู้สึก เบากาย เบาใจ มีความสุขใจ และมีอารมณ์เป็นหนึ่งเดียว แลมีอุเบกขาคือความเป็นกลาง

ต่อเมื่อเรา “ทนมานานแล้ว” จนทนไม่ไหวแล้ว ก็ยอมเถอะ ถอยออกมาดู และตั่งหลักก่อน พักใจสักนิด แล้วค่อยว่ากันใหม่ ดีกว่าที่จะฝืนต่อไป จนใจพังหมด จะทำให้เยียวยาใจได้ยากขึ้นอีก บางทีการถอยออกมาจะทำให้เรา มองเห็นหนทางใหม่ที่จะอข้าไปสู้ใหม่ แล้วทำให้ดีอีกครั้งก็ได้ อย่ากลัวการยอม!

  ต่อเมื่อเรา “ทนมานานแล้ว” จนทนไม่ไหวแล้ว ก็ยอมเถอะ ถอยออกมาดู และตั่งหลักก่อน พักใจสักนิด แล้วค่อยว่ากันใหม่ ดีกว่าที่จะฝืนต่อไป จนใจพังหมด จะทำให้เยียวยาใจได้ยากขึ้นอีก บางทีการถอยออกมาจะทำให้เรา มองเห็นหนทางใหม่ที่จะอข้าไปสู้ใหม่ แล้วทำให้ดีอีกครั้งก็ได้ อย่ากลัวการยอม!

ต่อเมื่อเรา “ทนมานานแล้ว” จนทนไม่ไหวแล้ว ก็ยอมเถอะ ถอยออกมาดู และตั่งหลักก่อน พักใจสักนิด แล้วค่อยว่ากันใหม่ ดีกว่าที่จะฝืนต่อไป จนใจพังหมด จะทำให้เยียวยาใจได้ยากขึ้นอีก บางทีการถอยออกมาจะทำให้เรา มองเห็นหนทางใหม่ที่จะอข้าไปสู้ใหม่ แล้วทำให้ดีอีกครั้งก็ได้ อย่ากลัวการยอม!

  ต่อเมื่อเรา “ทนมานานแล้ว” จนทนไม่ไหวแล้ว ก็ยอมเถอะ ถอยออกมาดู และตั่งหลักก่อน พักใจสักนิด แล้วค่อยว่ากันใหม่ ดีกว่าที่จะฝืนต่อไป จนใจพังหมด จะทำให้เยียวยาใจได้ยากขึ้นอีก บางทีการถอยออกมาจะทำให้เรา มองเห็นหนทางใหม่ที่จะอข้าไปสู้ใหม่ แล้วทำให้ดีอีกครั้งก็ได้ อย่ากลัวการยอม!

https://youtu.be/e0Loy7dskmk

 https://youtu.be/e0Loy7dskmk

ตลอดไป

 ตลอดไป

จบแล้ว

 จบแล้ว

ทุกข์มันก็แค่ทุกข์ เท่านั้น ถ้าเราไม่เอามาคิด หรือ มากวนให้ใจเราขุ่นมัว เดี๋ยวมันก็ผ่านออกไปเอง ที่ทุกข์เข้ามาแล้วไม่ค่อยออก เพราะเราไปเกี่ยวและเก็บเข้ามา ใส่ใจเยอะแยะ ยุบยับไปหมด เมื่อเกิดปัญหานิดเดียว ดูเหมือน ปัญหาจะเยอะแยะ จึงมีทุกข์มาก จะแก้ปัญหา ก็ต้องเลือแก้ทีละปม อย่าเอาทุกปัญหามาแก้ เพรามันจะ แก้ไม่ได้เลยสักปม มันจะยุ่งไปหมด จนกินกำลังใจเราให้ร่อยหรอ จนไม่สู้!

  ทุกข์มันก็แค่ทุกข์ เท่านั้น ถ้าเราไม่เอามาคิด หรือ มากวนให้ใจเราขุ่นมัว เดี๋ยวมันก็ผ่านออกไปเอง ที่ทุกข์เข้ามาแล้วไม่ค่อยออก เพราะเราไปเกี่ยวและเก็บเข้ามา ใส่ใจเยอะแยะ ยุบยับไปหมด เมื่อเกิดปัญหานิดเดียว ดูเหมือน ปัญหาจะเยอะแยะ จึงมีทุกข์มาก จะแก้ปัญหา ก็ต้องเลือแก้ทีละปม อย่าเอาทุกปัญหามาแก้ เพรามันจะ แก้ไม่ได้เลยสักปม มันจะยุ่งไปหมด จนกินกำลังใจเราให้ร่อยหรอ จนไม่สู้!

ทุกข์มันก็แค่ทุกข์ เท่านั้น ถ้าเราไม่เอามาคิด หรือ มากวนให้ใจเราขุ่นมัว เดี๋ยวมันก็ผ่านออกไปเอง ที่ทุกข์เข้ามาแล้วไม่ค่อยออก เพราะเราไปเกี่ยวและเก็บเข้ามา ใส่ใจเยอะแยะ ยุบยับไปหมด เมื่อเกิดปัญหานิดเดียว ดูเหมือน ปัญหาจะเยอะแยะ จึงมีทุกข์มาก จะแก้ปัญหา ก็ต้องเลือแก้ทีละปม อย่าเอาทุกปัญหามาแก้ เพรามันจะ แก้ไม่ได้เลยสักปม มันจะยุ่งไปหมด จนกินกำลังใจเราให้ร่อยหรอ จนไม่สู้!

  ทุกข์มันก็แค่ทุกข์ เท่านั้น ถ้าเราไม่เอามาคิด หรือ มากวนให้ใจเราขุ่นมัว เดี๋ยวมันก็ผ่านออกไปเอง ที่ทุกข์เข้ามาแล้วไม่ค่อยออก เพราะเราไปเกี่ยวและเก็บเข้ามา ใส่ใจเยอะแยะ ยุบยับไปหมด เมื่อเกิดปัญหานิดเดียว ดูเหมือน ปัญหาจะเยอะแยะ จึงมีทุกข์มาก จะแก้ปัญหา ก็ต้องเลือแก้ทีละปม อย่าเอาทุกปัญหามาแก้ เพรามันจะ แก้ไม่ได้เลยสักปม มันจะยุ่งไปหมด จนกินกำลังใจเราให้ร่อยหรอ จนไม่สู้!

ไทย 20

  ไทย 20

ของเน่าเหม็น

 ของเน่าเหม็น

ไทย 20

  ไทย 20

เดือนที่ผ่านมา 11

 เดือนที่ผ่านมา 11

ไทย 20

 ไทย 20

เดือนนี้ 21

 เดือนนี้ 21

ไทย 20

 ไทย 20

ไทย 20

 ไทย 20

เดือนนี้ 21

  เดือนนี้ 21

ไทย 20

 ไทย 20

เดือนนี้ 21

 เดือนนี้ 21

เดือนที่ผ่านมา 11

  เดือนที่ผ่านมา 11

เดือนนี้ 21

  เดือนนี้ 21

ไทย 20

  ไทย 20

ไทย 20

  ไทย 20

ไทย 20

  ไทย 20

ไทย 20

  ไทย 20

ไทย 20

  ไทย 20

ไทย 20

  ไทย 20

ไทย 20

  ไทย 20

เดือนที่ผ่านมา 11

  เดือนที่ผ่านมา 11

เดือนนี้ 21

  เดือนนี้ 21

เดือนนี้ 21

  เดือนนี้ 21

กับพระพุทธเจ้า

 กับพระพุทธเจ้า

เหลือส่วนประกอบ

 เหลือส่วนประกอบ

จริงๆมันก็จบแล้ว

 จริงๆมันก็จบแล้ว

เดือนที่ผ่านมา 11

  เดือนที่ผ่านมา 11

ไทย 20

  ไทย 20

ไทย 20

  ไทย 20

ไทย 20

  ไทย 20

เดือนนี้ 21

  เดือนนี้ 21

ไทย 20

 ไทย 20

ไทย 20

 ไทย 20

ได้แล้ว

 ได้แล้ว

ได้แล้ว

 ได้แล้ว

ไทย 20

 ไทย 20

เดือนที่ผ่านมา 11

 เดือนที่ผ่านมา 11

เดือนนี้ 21

  เดือนนี้ 21

เดือนนี้ 21

  เดือนนี้ 21

เดือนนี้ 21

  เดือนนี้ 21

เดือนนี้ 21

  เดือนนี้ 21

เดือนนี้ 21

  เดือนนี้ 21

เดือนที่ผ่านมา 11

  เดือนที่ผ่านมา 11

เดือนนี้ 21

  เดือนนี้ 21

ไทย 20

 ไทย 20

ไทย 20

 ไทย 20

ไทย 20

 ไทย 20

ไทย 20

 ไทย 20

ไทย 20

 ไทย 20

ไทย 20

 ไทย 20

ไทย 20

 ไทย 20

ไทย 20

 ไทย 20

ผมบังภูเขา

 ผมบังภูเขา

พระพุทธศาสนา

 พระพุทธศาสนา

ไทย 20

 ไทย 20

ไทย 20

 ไทย 20

ผมบังภูเขา

 ผมบังภูเขา

ไทย 20

 ไทย 20

พระพุทธศาสนา

 พระพุทธศาสนา

ไทย 20

 ไทย 20

พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาเอกของโลกที่มีหลักคำสั่งสอนอันเปรียบเสมือนห้วงมหานทีแห่งสรรพศาสตร์ จึงมิใช่เพียงแค่เป็นปรัชญาหรือทฤษฎีเท่านั้น หากแต่ยังมีเนื้อหาครอบคลุมถึงวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ ความนึกคิดแทบทุกด้านและที่สำคัญพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งการกระทำ (กรรมวาท และกิริยาวาท) เป็นศาสนาแห่งความเพียรพยายาม (วิริยวาท) ไม่ใช่ศาสนาแห่งการอ้อนวอนปรารถนา หรือศาสนาแห่งความห่วงหวังกังวล การสั่งสอนธรรมของพระพุทธเจ้าทรงมุ่งผลในทางปฏิบัติให้ทุกคนจัดการกับชีวิตที่เป็นอยู่จริงๆ ในโลกนี้และเริ่มต้นแต่บัดนี้ คำว่า “พระพุทธศาสตร์” แยกได้เป็น ๓ คำ คือ คำว่า พระ แปลว่าประเสริฐ ดีเลิศ คำว่า พุทธะ แปลว่า ผู้รู้-ผู้ตื่น-ผู้เบิกบานในที่นี้หมายถึงท่านผู้ตรัสรู้อริยสัจ ๔ อย่างถ่องแท้ คำว่า ศาสตร์ แปลว่าความรู้ หรือองค์ความรู้ที่เกิดจากการศึกษาค้นคว้าวิจัย ซึ่งเป็นกิจกรรมของมนุษย์อย่างหนึ่งที่มุ่งอธิบายอย่างเป็นระบบในความที่น่าจะเป็นไปได้ เมื่อรวมกันแล้วได้ความหมายว่าองค์แห่งความรู้ของผู้รู้-ผู้ตื่น-ผู้เบิกบานอย่างประเสริฐ ในบรรดาองค์แห่งความรู้ทั้งหมดนั้นเป็นความรู้ที่พระพุทธเจ้าทรงศึกษาค้นคว้าวิจัยด้วยพระองค์เองจนสามารถกำหนดเป็นทฤษฎีแห่งความรู้ต่างๆ มากมาย ในที่นี้จะแบ่งลักษณะความรู้ที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนเพียงแค่น้อยนิดเท่านั้น แบ่งออกเป็น ๓ ลักษณะ ดังนี้ ๑. คำสอนที่ทรงค้นพบใหม่ เช่น อริยสัจ ปฏิจจสมุปบาท เป็นต้น ๒. คำสอนที่ทรงปฏิรูปจากลัทธิ ศาสนาเดิม เช่น การทำบุญให้ได้ผลสมบูรณ์จะต้องทำกับผู้เป็นพราหมณ์โดยกำเนิด หรือบริสุทธิ์โดยตระกูล พระองค์ทรงปฏิรูปโดยให้ทำกับปฏิคาหก (ผู้รับ) ที่มีศีลบริสุทธิ์มีคุณธรรม และทายก (ผู้ถวายหรือผู้ให้) จะต้องมีความบริสุทธิ์ใน ๓ กาล คือก่อนให้-ขณะกำลังให้-หลังจากให้แล้ว ๓. คำสอนที่ทรงปฏิวัติ เช่น การฆ่าสัตว์บูชายัญจัดเป็นมหามงคลอย่างยิ่ง สามารถบันดาลให้ตนสำเร็จตามปรารถนา พระองค์ทรงเห็นตรงกันข้ามว่าการฆ่าเป็นบาปทั้งสิ้น ความรู้ในพระพุทธศาสนาแม้จะมากมาย ถึงกระนั้นก็ตามพระพุทธศาสนามีเป้าหมายสูงสุดอยู่ที่พระนิพพาน คือการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ดังนั้นการบรรลุนิพพานก็คือการเข้าถึงความดับทุกข์โดยสิ้นเชิง และบรรลุความสุขอย่างสูงสุด จิตของผู้บรรลุนิพพานย่อมมีความสะอาดสว่างและสงบตลอดเวลาที่มีชีวิตอยู่และเมื่อดับขันธ์แล้วก็เป็นการสิ้นทุกข์ ไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารอีกต่อไป เมื่อมนุษย์ไม่สามารถเข้าสู่เป้าหมายอันสูงสุดได้อย่างรวดเร็วทางพระพุทธศาสนาจึงได้กำหนดอัตถะ หรือประโยชน์ที่เป็นเป้าหมายหลักและเป้าหมายรองเอาไว้ เพื่อเป็นหลักในการดำเนินชีวิตและเป็นที่มุ่งหวังสำหรับมนุษย์เอาไว้ ๓ ระดับ ดังนี้ ๑. ทิฏฐิธัมมิกัตถะ จุดหมายขั้นตาเห็น หรือประโยชน์ปัจจุบัน เช่นมีสุขภาพที่ดี มีเงินใช้และมีงานทำ มีสถานภาพที่ดี และมีครอบครัวที่ผาสุก เป็นต้น ๒. สัมปรายิกัตถะ จุดหมายขั้นเลยตาเห็น หรือประโยชน์เบื้องหน้า เช่น ความอบอุ่นซาบซึ้งสุขใจ ความภาคภูมิใจ ความอิ่มใจ ความแกล้วกล้ามั่นใจ และความโล่งจิตมั่นใจ เป็นต้น ๓. ปรมัตถะ จุดหมายสูงสุด หรือประโยชน์อย่างยิ่ง เช่น ไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรม ไม่ผิดหวังและเศร้า มีความปลอดโปร่งสงบ และเป็นอยู่ด้วยปัญญา เป็นต้น พระพุทธศาสนามีหลักคำสอนที่มีเหตุและผลเป็นศาสนธรรมว่าโดยแม่บทอันเป็นหลักการใหญ่ที่เรียกว่า ปาพจน์ มี ๒ อย่างคือ พระธรรมกับพระวินัย ว่าโดยปิฎกซึ่งเป็นคัมภีร์หลักของศาสนามี ๓ คือ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก ว่าโดยหัวข้อที่เรียกว่าธรรมขันธ์มี ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์[๒] ๑. ความเป็นมาของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทย ด้วยชนชาติไทยได้นับถือและยกย่องเทิดทูนเป็นสรณะแห่งชีวิต สืบทอดต่อเนื่องกันมาเป็นเวลาช้านาน ขนบธรรมเนียมประเพณีและศิลปวัฒนธรรมของชาติส่วนใหญ่ มีพื้นฐานมาจากพระพุทธศาสนา องค์พระมหากษัตริย์ซึ่งทรงเป็นพระประมุขของชาติทุกๆ พระองค์ทรงเป็นพุทธมามกะ ทรงดำรงอยู่ในฐานะเป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภก ทรงยกย่องเชิดชูพระพุทธศาสนาตลอดมาตั้งแต่อดีตอันยาวนาน จวบจนกาลปัจจุบัน อันแสดงให้เห็นเป็นประจักษ์ว่าพระพุทธศาสนาได้สถิตสถาพรเป็นมิ่งขวัญของชาติไทยตลอดมาทุกยุคทุกสมัย กล่าวได้ว่าชาติไทยได้มีความเจริญมั่นคง ดำรงเอกราชอธิปไตยสืบทอดต่อกันมาตั้งแต่โบราณกาล จวบจนกาลปัจจุบัน ก็ด้วยคนไทยทั้งชาติยึดมั่นอยู่ในหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา มีความเคารพบูชาพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์เป็นสรณะ พระพุทธศาสนาจึงมีบทบาทสำคัญยิ่งต่อชีวิตของชาวไทย โดยมีส่วนเสริมสร้างอุปนิสัยของคนในชาติให้รักความสงบ มีความเสียสละ แกล้วกล้า อาจหาญ รอบรู้ฐานะ อฐานะ มีความรักและยึดมั่นอยู่ในสามัคคีธรรม โดยที่พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทยดังกล่าวนี้ ชาวไทยส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ ๙๕ ของประชากรทั้งประเทศเป็นพุทธศาสนิกชน เป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนามีอิทธิพลเป็นอันมากต่อความเชื่อ และความประพฤติ หรือการดำรงชีวิตของคนไทยส่วนใหญ่ หากมองดูสภาพสังคมไทยในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่าแม้ชาวไทยเราส่วนใหญ่จะเป็นพุทธศาสนิกชนดังกล่าวแล้ว แต่ส่วนใหญ่มักเป็นกันตามจารีตประเพณี หรือเป็นพุทธศาสนิกชนตามสำมะโนครัว มักไม่ค่อยได้มีโอกาสได้เรียนรู้ ได้ศึกษาพระพุทธศาสนาได้เท่าที่ควร ทั้งนี้ย่อมสืบเนื่องมาจากสาเหตุหลายประการด้วยกัน[๓] ๒. ความสำคัญของพระพุทธศาสนากับสังคมไทย พระพุทธศาสนาถือได้ว่าเป็นศาสนาประจำชาติ และอยู่เคียงคู่กับชาติไทยมาโดยตลอด ดังนั้นพระพุทธศาสนาจึงมีความสำคัญต่อสังคมไทย พอสรุปได้ดังนี้[๔] ๑) พระพุทธศาสนาเป็นหลักในการดำเนินชีวิตของคนไทย เพราะคนไทยนำหลักธรรมมาประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวัน และลักษณะนิสัยของคนไทยมีจิตใจที่ดีงามใน ทุกๆ ด้าน มีความเป็นมิตรกับทุกคน เป็นต้น ๒) พระพุทธศาสนาเป็นหลักในการปกครองประเทศ กษัตริย์ทุกพระองค์ของไทยได้นำเอาหลักธรรมพระพุทธศาสนาไปใช้ในการปกครองประเทศ เช่น ทศพิธราชธรรม ตลอดมา หรือใช้หลัก “ธรรมาธิปไตย” และหลักอปาริหานิยธรรม เป็นหลักในการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เป็นต้น ๓) พระพุทธศาสนาเป็นศูนย์รวมจิตใจ เนื่องจากหลักธรรมในพระพุทธศาสนามุ่งเน้นให้เกิดความรักความสามัคคีกัน มีความเมตตากรุณาต่อกัน เป็นต้น จึงเป็นศูนย์รวมจิตใจของชนชาวไทยให้มีความเป็นหนึ่งเดียวกัน ๔) พระพุทธศาสนาเป็นที่มาของวัฒนธรรมไทย ด้วยวิถีชีวิตของคนไทยผูกพันกับพระพุทธศาสนา จึงเป็นกรอบในการปฏิบัติตนตามหลักพิธีกรรมในพระพุทธศาสนาต่าง ๆ เช่น การบวช การแต่งงาน การทำบุญเนื่องในพิธีการต่างๆ การปฏิบัติตนตามประเพณีในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เป็นต้น ซึ่งเป็นส่วนที่ก่อให้เกิดวัฒนธรรมไทยจนถึงปัจจุบัน ๕) พระพุทธศาสนาในฐานะเป็นสถาบันหลักของสังคมไทย พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาที่สังคมไทยส่วนใหญ่นับถือ และสืบทอดกันมาเป็นช้านาน ดังนั้นพระพุทธศาสนาจึงมีบทบาทสำคัญของวิถีชีวิตของคนไทย พระพุทธศาสนาจึงมีความสำคัญในด้านต่างๆ ทั้งด้านการศึกษา ด้านสังคม และด้านศิลปกรรม ๖) พระพุทธศาสนาในฐานะเป็นรากฐานของวัฒนธรรม วิถีชีวิตของคนไทยผูกพันอยู่อย่างแนบแน่นกับพระพุทธศาสนา ซึมแทรกผสมผสานอยู่ในแนวความคิด จิตใจและกิจกรรมแทบทุกก้าวของชีวิตโดยตลอดเวลายาวนาน โดยยังคงเนื้อหาสาระเดิมที่บริสุทธิ์ไว้ได้ก็มี ถูกดัดแปลงเสริมแต่งตลอดจนปนเปกับความเชื่อถือและข้อปฏิบัติสายอื่นหรือผันแปรในด้านเหตุอื่นๆ จนผิดเพี้ยนไปจากเดิมก็มาก ๗) พระพุทธศาสนาในฐานะเป็นเอกลักษณ์ของชาติ การที่พระพุทธศาสนาอยู่กับคนไทยมาช้านาน จึงก่อให้เกิดการซึมซาบเอาหลักปฏิบัติของพระพุทธศาสนาให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ก่อให้เกิดความเป็นเอกลักษณ์ของคนไทยที่ไม่เหมือนกับชาติอื่นๆ ที่เป็นเอกลักษณ์เด่นได้แก่ รักความเป็นอิสระ และความมีน้ำใจไมตรี ๘) พระพุทธศาสนาในฐานะเป็นมรดกของชาติ หลักฐานทางคัมภีร์และศาสนาวัตถุ ซึ่งนักประวัติศาสตร์โบราณคดีเชื่อว่า พระพุทธศาสนาได้เข้ามาเผยแพร่ในดินแดนสุวรรณภูมิก่อน พ.ศ. ๕๐๐ แต่ศรัทธาความเชื่อของปุถุชนก็เป็นไปตามยุคสมัย พระพุทธศาสนาจึงรุ่งเรืองและเสื่อมลงตามกาลสมัยด้วย จนกระทั่งพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ได้สถาปนากรุงสุโขทัยและรับเอาพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ครั้นราว พ.ศ. ๑๘๓๖ พ่อขุนรามคำแหงมหาราชได้ อาราธนาพระสงฆ์ลังกาวงศ์จากนครศรีธรรมราชไปกรุงสุโขทัยและอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาจนมั่นคงยืนนานมาในปัจจุบันนี้ ๙) พระพุทธศาสนาในฐานะที่ช่วยสร้างสรรค์อารยธรรม ชนชาติหนึ่ง ๆ นอกจากมีหน้าที่ต้องพัฒนาประเทศชาติของตนเองแล้ว ก็พึงมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์และส่งเสริมอารยธรรมโลกด้วย ชนชาติไทยเป็นชนชาติที่เก่าแก่มากชนชาติหนึ่ง มีวัฒนธรรมที่เจริญก้าวหน้าอย่างสูงมาตลอดเวลายาวนาน จึงได้มีส่วนร่วมในการสร้างเสริมอารยธรรมของโลกด้วย แม้ว่าจะอยู่ในขอบเขตที่ไม่กว้างนัก ส่วนร่วมที่ว่านี้ก็คือ ศิลปวัฒนธรรมไทย ซึ่งพัฒนาขึ้นมาจนมีแบบแผนเป็นของตนเอง อย่างที่เรียกว่ามีเอกลักษณ์ของความเป็นไทยเด่นชัด ศิลปวัฒนธรรมไทยเหล่านี้มีรากฐานมาจากพระพุทธศาสนาเป็นส่วนใหญ่ ๑๐) พระพุทธศาสนาในฐานะที่ช่วยสร้างความสงบสุขให้แก่โลก พระพุทธศาสนาเป็นรากฐานอารยธรรมที่สำคัญของโลกดังได้กล่าวมาแล้ว พระพุทธศาสนายังช่วยสร้างความสงบสุขให้แก่ชาวโลกได้ หากศึกษาในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนามีทั้งการสร้างสรรค์ อารยธรรมและสันติภาพแก่มวลมนุษย์ นั่นคือ พระพุทธศาสนาเกิดขึ้นในประเทศอินเดียหรือชมพูทวีป พระพุทธศาสนาได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมอินเดีย กล่าวคือสังคมอินเดียเคยนับถือพระพรหมเป็นเทพเจ้าสูงสุด ผู้สร้างผู้บันดาลทุกสิ่ง มีการบูชายัญเทพเจ้า แล้วก็มีการกำหนดมนุษย์เป็นวรรณะต่าง ๆ โดยชาติกำเนิด เป็นกษัตริย์ เป็นพราหมณ์ เป็นแพศย์ เป็นศูทร แล้วก็ถือว่าพราหมณ์เป็นผู้ที่ติดต่อสื่อสารกับเทพเจ้ากับพระพรหม เป็นผู้รู้ความต้องการของพระองค์ เป็นผู้รับเอาคำสอนมารักษา มีการผูกขาดการศึกษาให้อยู่ในวรรณะสูง คนวรรณะต่ำเรียนไม่ได้ เป็นต้น กล่าวโดยสรุป...เมื่อพระพุทธศาสนาเกิดขึ้น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องเหล่านี้อย่างมากมาย เช่น เรื่อง วรรณะ ๔ พระพุทธศาสนาไม่ยอมรับ แต่ให้ถือหลักว่า “คนมิใช่ประเสริฐหรือต่ำทรามเพราะชาติกำเนิด แต่จะประเสริฐหรือต่ำทรามเพราะการกระทำ” แล้วก็ไม่ให้มัวหวังผลจากการอ้อนวอนบูชายัญ สอนให้เปลี่ยนการบูชายัญหรือเลิกการบูชายัญ ให้หันมาหวังผลจากการกระทำ นี่คือการ “ประกาศอิสรภาพของมนุษย์” [๑]พระครูโสภณปริยัติสุธี (ศรีบรรดร ถิรธมฺโม), ทฤษฎีรัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (พะเยา: โรงพิมพ์เจริญอักษร, ๒๕๕๐), หน้า ๑ - ๓. [๒]คูณ โทขันธ์, พุทธศาสนากับสังคมและวัฒนธรรมไทย,(กรุงเทพมหานคร: โอ.เอส.พริ้นติ้ง เฮ้าส์ , ๒๕๔๕), หน้า ๑. [๓]พิทูร มลิวัลย์ และไสว มาลาทอง, ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์การศาสนา, ๒๕๔๒), หน้า ๑. [๔]พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), ความสำคัญของพระพุทธศาสนาในฐานะเป็นศาสนาประจำชาติ, พิมพ์ครั้งที่ ๑๐, (กรุงเทพมหานคร: สหธรรมิก, ๒๕๔๓), หน้า ๙–๑๐.

  พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาเอกของโลกที่มีหลักคำสั่งสอนอันเปรียบเสมือนห้วงมหานทีแห่งสรรพศาสตร์ จึงมิใช่เพียงแค่เป็นปรัชญาหรือทฤษฎีเท่านั้น หากแต่ยังมีเนื้อหาครอบคลุมถึงวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ ความนึกคิดแทบทุกด้านและที่สำคัญพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งการกระทำ (กรรมวาท และกิริยาวาท) เป็นศาสนาแห่งความเพียรพยายาม (วิริยวาท) ไม่ใช่ศาสนาแห่งการอ้อนวอนปรารถนา หรือศาสนาแห่งความห่วงหวังกังวล การสั่งสอนธรรมของพระพุทธเจ้าทรงมุ่งผลในทางปฏิบัติให้ทุกคนจัดการกับชีวิตที่เป็นอยู่จริงๆ ในโลกนี้และเริ่มต้นแต่บัดนี้ คำว่า “พระพุทธศาสตร์” แยกได้เป็น ๓ คำ คือ คำว่า พระ แปลว่าประเสริฐ ดีเลิศ คำว่า พุทธะ แปลว่า ผู้รู้-ผู้ตื่น-ผู้เบิกบานในที่นี้หมายถึงท่านผู้ตรัสรู้อริยสัจ ๔ อย่างถ่องแท้ คำว่า ศาสตร์ แปลว่าความรู้ หรือองค์ความรู้ที่เกิดจากการศึกษาค้นคว้าวิจัย ซึ่งเป็นกิจกรรมของมนุษย์อย่างหนึ่งที่มุ่งอธิบายอย่างเป็นระบบในความที่น่าจะเป็นไปได้ เมื่อรวมกันแล้วได้ความหมายว่าองค์แห่งความรู้ของผู้รู้-ผู้ตื่น-ผู้เบิกบานอย่างประเสริฐ ในบรรดาองค์แห่งความรู้ทั้งหมดนั้นเป็นความรู้ที่พระพุทธเจ้าทรงศึกษาค้นคว้

ไทย 20

 ไทย 20

ไทย 20

 ไทย 20

ไทย 20

 ไทย 20

ไทย 20

 ไทย 20

พระพุทธศาสนา

 พระพุทธศาสนา

ผมบังภูเขา

 ผมบังภูเขา

ไทย 20

  ไทย 20

ไทย 20

  ไทย 20

ไทย 20

  ไทย 20

ไทย 20

  ไทย 20

ไทย 20

  ไทย 20

ไทย 20

  ไทย 20

ไทย 20

  ไทย 20

ไทย 20

  ไทย 20

ดี

 ดี

จบ

 จบ

จบบริบูรณ์

 จบบริบูรณ์

บริบูรณ์

 บริบูรณ์

แล้วๆ

 แล้วๆ

เส้นผมบังภูเขา

 เส้นผมบังภูเขา

เส้นผมบังภูเขา

 เส้นผมบังภูเขา

พระพุทธศาสนา

 พระพุทธศาสนา

พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาเอกของโลกที่มีหลักคำสั่งสอนอันเปรียบเสมือนห้วงมหานทีแห่งสรรพศาสตร์ จึงมิใช่เพียงแค่เป็นปรัชญาหรือทฤษฎีเท่านั้น หากแต่ยังมีเนื้อหาครอบคลุมถึงวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ ความนึกคิดแทบทุกด้านและที่สำคัญพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งการกระทำ (กรรมวาท และกิริยาวาท) เป็นศาสนาแห่งความเพียรพยายาม (วิริยวาท) ไม่ใช่ศาสนาแห่งการอ้อนวอนปรารถนา หรือศาสนาแห่งความห่วงหวังกังวล การสั่งสอนธรรมของพระพุทธเจ้าทรงมุ่งผลในทางปฏิบัติให้ทุกคนจัดการกับชีวิตที่เป็นอยู่จริงๆ ในโลกนี้และเริ่มต้นแต่บัดนี้ คำว่า “พระพุทธศาสตร์” แยกได้เป็น ๓ คำ คือ คำว่า พระ แปลว่าประเสริฐ ดีเลิศ คำว่า พุทธะ แปลว่า ผู้รู้-ผู้ตื่น-ผู้เบิกบานในที่นี้หมายถึงท่านผู้ตรัสรู้อริยสัจ ๔ อย่างถ่องแท้ คำว่า ศาสตร์ แปลว่าความรู้ หรือองค์ความรู้ที่เกิดจากการศึกษาค้นคว้าวิจัย ซึ่งเป็นกิจกรรมของมนุษย์อย่างหนึ่งที่มุ่งอธิบายอย่างเป็นระบบในความที่น่าจะเป็นไปได้ เมื่อรวมกันแล้วได้ความหมายว่าองค์แห่งความรู้ของผู้รู้-ผู้ตื่น-ผู้เบิกบานอย่างประเสริฐ ในบรรดาองค์แห่งความรู้ทั้งหมดนั้นเป็นความรู้ที่พระพุทธเจ้าทรงศึกษาค้นคว้าวิจัยด้วยพระองค์เองจนสามารถกำหนดเป็นทฤษฎีแห่งความรู้ต่างๆ มากมาย ในที่นี้จะแบ่งลักษณะความรู้ที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนเพียงแค่น้อยนิดเท่านั้น แบ่งออกเป็น ๓ ลักษณะ ดังนี้ ๑. คำสอนที่ทรงค้นพบใหม่ เช่น อริยสัจ ปฏิจจสมุปบาท เป็นต้น ๒. คำสอนที่ทรงปฏิรูปจากลัทธิ ศาสนาเดิม เช่น การทำบุญให้ได้ผลสมบูรณ์จะต้องทำกับผู้เป็นพราหมณ์โดยกำเนิด หรือบริสุทธิ์โดยตระกูล พระองค์ทรงปฏิรูปโดยให้ทำกับปฏิคาหก (ผู้รับ) ที่มีศีลบริสุทธิ์มีคุณธรรม และทายก (ผู้ถวายหรือผู้ให้) จะต้องมีความบริสุทธิ์ใน ๓ กาล คือก่อนให้-ขณะกำลังให้-หลังจากให้แล้ว ๓. คำสอนที่ทรงปฏิวัติ เช่น การฆ่าสัตว์บูชายัญจัดเป็นมหามงคลอย่างยิ่ง สามารถบันดาลให้ตนสำเร็จตามปรารถนา พระองค์ทรงเห็นตรงกันข้ามว่าการฆ่าเป็นบาปทั้งสิ้น ความรู้ในพระพุทธศาสนาแม้จะมากมาย ถึงกระนั้นก็ตามพระพุทธศาสนามีเป้าหมายสูงสุดอยู่ที่พระนิพพาน คือการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ดังนั้นการบรรลุนิพพานก็คือการเข้าถึงความดับทุกข์โดยสิ้นเชิง และบรรลุความสุขอย่างสูงสุด จิตของผู้บรรลุนิพพานย่อมมีความสะอาดสว่างและสงบตลอดเวลาที่มีชีวิตอยู่และเมื่อดับขันธ์แล้วก็เป็นการสิ้นทุกข์ ไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารอีกต่อไป เมื่อมนุษย์ไม่สามารถเข้าสู่เป้าหมายอันสูงสุดได้อย่างรวดเร็วทางพระพุทธศาสนาจึงได้กำหนดอัตถะ หรือประโยชน์ที่เป็นเป้าหมายหลักและเป้าหมายรองเอาไว้ เพื่อเป็นหลักในการดำเนินชีวิตและเป็นที่มุ่งหวังสำหรับมนุษย์เอาไว้ ๓ ระดับ ดังนี้ ๑. ทิฏฐิธัมมิกัตถะ จุดหมายขั้นตาเห็น หรือประโยชน์ปัจจุบัน เช่นมีสุขภาพที่ดี มีเงินใช้และมีงานทำ มีสถานภาพที่ดี และมีครอบครัวที่ผาสุก เป็นต้น ๒. สัมปรายิกัตถะ จุดหมายขั้นเลยตาเห็น หรือประโยชน์เบื้องหน้า เช่น ความอบอุ่นซาบซึ้งสุขใจ ความภาคภูมิใจ ความอิ่มใจ ความแกล้วกล้ามั่นใจ และความโล่งจิตมั่นใจ เป็นต้น ๓. ปรมัตถะ จุดหมายสูงสุด หรือประโยชน์อย่างยิ่ง เช่น ไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรม ไม่ผิดหวังและเศร้า มีความปลอดโปร่งสงบ และเป็นอยู่ด้วยปัญญา เป็นต้น พระพุทธศาสนามีหลักคำสอนที่มีเหตุและผลเป็นศาสนธรรมว่าโดยแม่บทอันเป็นหลักการใหญ่ที่เรียกว่า ปาพจน์ มี ๒ อย่างคือ พระธรรมกับพระวินัย ว่าโดยปิฎกซึ่งเป็นคัมภีร์หลักของศาสนามี ๓ คือ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก ว่าโดยหัวข้อที่เรียกว่าธรรมขันธ์มี ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์[๒] ๑. ความเป็นมาของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทย ด้วยชนชาติไทยได้นับถือและยกย่องเทิดทูนเป็นสรณะแห่งชีวิต สืบทอดต่อเนื่องกันมาเป็นเวลาช้านาน ขนบธรรมเนียมประเพณีและศิลปวัฒนธรรมของชาติส่วนใหญ่ มีพื้นฐานมาจากพระพุทธศาสนา องค์พระมหากษัตริย์ซึ่งทรงเป็นพระประมุขของชาติทุกๆ พระองค์ทรงเป็นพุทธมามกะ ทรงดำรงอยู่ในฐานะเป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภก ทรงยกย่องเชิดชูพระพุทธศาสนาตลอดมาตั้งแต่อดีตอันยาวนาน จวบจนกาลปัจจุบัน อันแสดงให้เห็นเป็นประจักษ์ว่าพระพุทธศาสนาได้สถิตสถาพรเป็นมิ่งขวัญของชาติไทยตลอดมาทุกยุคทุกสมัย กล่าวได้ว่าชาติไทยได้มีความเจริญมั่นคง ดำรงเอกราชอธิปไตยสืบทอดต่อกันมาตั้งแต่โบราณกาล จวบจนกาลปัจจุบัน ก็ด้วยคนไทยทั้งชาติยึดมั่นอยู่ในหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา มีความเคารพบูชาพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์เป็นสรณะ พระพุทธศาสนาจึงมีบทบาทสำคัญยิ่งต่อชีวิตของชาวไทย โดยมีส่วนเสริมสร้างอุปนิสัยของคนในชาติให้รักความสงบ มีความเสียสละ แกล้วกล้า อาจหาญ รอบรู้ฐานะ อฐานะ มีความรักและยึดมั่นอยู่ในสามัคคีธรรม โดยที่พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทยดังกล่าวนี้ ชาวไทยส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ ๙๕ ของประชากรทั้งประเทศเป็นพุทธศาสนิกชน เป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนามีอิทธิพลเป็นอันมากต่อความเชื่อ และความประพฤติ หรือการดำรงชีวิตของคนไทยส่วนใหญ่ หากมองดูสภาพสังคมไทยในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่าแม้ชาวไทยเราส่วนใหญ่จะเป็นพุทธศาสนิกชนดังกล่าวแล้ว แต่ส่วนใหญ่มักเป็นกันตามจารีตประเพณี หรือเป็นพุทธศาสนิกชนตามสำมะโนครัว มักไม่ค่อยได้มีโอกาสได้เรียนรู้ ได้ศึกษาพระพุทธศาสนาได้เท่าที่ควร ทั้งนี้ย่อมสืบเนื่องมาจากสาเหตุหลายประการด้วยกัน[๓] ๒. ความสำคัญของพระพุทธศาสนากับสังคมไทย พระพุทธศาสนาถือได้ว่าเป็นศาสนาประจำชาติ และอยู่เคียงคู่กับชาติไทยมาโดยตลอด ดังนั้นพระพุทธศาสนาจึงมีความสำคัญต่อสังคมไทย พอสรุปได้ดังนี้[๔] ๑) พระพุทธศาสนาเป็นหลักในการดำเนินชีวิตของคนไทย เพราะคนไทยนำหลักธรรมมาประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวัน และลักษณะนิสัยของคนไทยมีจิตใจที่ดีงามใน ทุกๆ ด้าน มีความเป็นมิตรกับทุกคน เป็นต้น ๒) พระพุทธศาสนาเป็นหลักในการปกครองประเทศ กษัตริย์ทุกพระองค์ของไทยได้นำเอาหลักธรรมพระพุทธศาสนาไปใช้ในการปกครองประเทศ เช่น ทศพิธราชธรรม ตลอดมา หรือใช้หลัก “ธรรมาธิปไตย” และหลักอปาริหานิยธรรม เป็นหลักในการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เป็นต้น ๓) พระพุทธศาสนาเป็นศูนย์รวมจิตใจ เนื่องจากหลักธรรมในพระพุทธศาสนามุ่งเน้นให้เกิดความรักความสามัคคีกัน มีความเมตตากรุณาต่อกัน เป็นต้น จึงเป็นศูนย์รวมจิตใจของชนชาวไทยให้มีความเป็นหนึ่งเดียวกัน ๔) พระพุทธศาสนาเป็นที่มาของวัฒนธรรมไทย ด้วยวิถีชีวิตของคนไทยผูกพันกับพระพุทธศาสนา จึงเป็นกรอบในการปฏิบัติตนตามหลักพิธีกรรมในพระพุทธศาสนาต่าง ๆ เช่น การบวช การแต่งงาน การทำบุญเนื่องในพิธีการต่างๆ การปฏิบัติตนตามประเพณีในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เป็นต้น ซึ่งเป็นส่วนที่ก่อให้เกิดวัฒนธรรมไทยจนถึงปัจจุบัน ๕) พระพุทธศาสนาในฐานะเป็นสถาบันหลักของสังคมไทย พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาที่สังคมไทยส่วนใหญ่นับถือ และสืบทอดกันมาเป็นช้านาน ดังนั้นพระพุทธศาสนาจึงมีบทบาทสำคัญของวิถีชีวิตของคนไทย พระพุทธศาสนาจึงมีความสำคัญในด้านต่างๆ ทั้งด้านการศึกษา ด้านสังคม และด้านศิลปกรรม ๖) พระพุทธศาสนาในฐานะเป็นรากฐานของวัฒนธรรม วิถีชีวิตของคนไทยผูกพันอยู่อย่างแนบแน่นกับพระพุทธศาสนา ซึมแทรกผสมผสานอยู่ในแนวความคิด จิตใจและกิจกรรมแทบทุกก้าวของชีวิตโดยตลอดเวลายาวนาน โดยยังคงเนื้อหาสาระเดิมที่บริสุทธิ์ไว้ได้ก็มี ถูกดัดแปลงเสริมแต่งตลอดจนปนเปกับความเชื่อถือและข้อปฏิบัติสายอื่นหรือผันแปรในด้านเหตุอื่นๆ จนผิดเพี้ยนไปจากเดิมก็มาก ๗) พระพุทธศาสนาในฐานะเป็นเอกลักษณ์ของชาติ การที่พระพุทธศาสนาอยู่กับคนไทยมาช้านาน จึงก่อให้เกิดการซึมซาบเอาหลักปฏิบัติของพระพุทธศาสนาให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ก่อให้เกิดความเป็นเอกลักษณ์ของคนไทยที่ไม่เหมือนกับชาติอื่นๆ ที่เป็นเอกลักษณ์เด่นได้แก่ รักความเป็นอิสระ และความมีน้ำใจไมตรี ๘) พระพุทธศาสนาในฐานะเป็นมรดกของชาติ หลักฐานทางคัมภีร์และศาสนาวัตถุ ซึ่งนักประวัติศาสตร์โบราณคดีเชื่อว่า พระพุทธศาสนาได้เข้ามาเผยแพร่ในดินแดนสุวรรณภูมิก่อน พ.ศ. ๕๐๐ แต่ศรัทธาความเชื่อของปุถุชนก็เป็นไปตามยุคสมัย พระพุทธศาสนาจึงรุ่งเรืองและเสื่อมลงตามกาลสมัยด้วย จนกระทั่งพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ได้สถาปนากรุงสุโขทัยและรับเอาพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ครั้นราว พ.ศ. ๑๘๓๖ พ่อขุนรามคำแหงมหาราชได้ อาราธนาพระสงฆ์ลังกาวงศ์จากนครศรีธรรมราชไปกรุงสุโขทัยและอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาจนมั่นคงยืนนานมาในปัจจุบันนี้ ๙) พระพุทธศาสนาในฐานะที่ช่วยสร้างสรรค์อารยธรรม ชนชาติหนึ่ง ๆ นอกจากมีหน้าที่ต้องพัฒนาประเทศชาติของตนเองแล้ว ก็พึงมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์และส่งเสริมอารยธรรมโลกด้วย ชนชาติไทยเป็นชนชาติที่เก่าแก่มากชนชาติหนึ่ง มีวัฒนธรรมที่เจริญก้าวหน้าอย่างสูงมาตลอดเวลายาวนาน จึงได้มีส่วนร่วมในการสร้างเสริมอารยธรรมของโลกด้วย แม้ว่าจะอยู่ในขอบเขตที่ไม่กว้างนัก ส่วนร่วมที่ว่านี้ก็คือ ศิลปวัฒนธรรมไทย ซึ่งพัฒนาขึ้นมาจนมีแบบแผนเป็นของตนเอง อย่างที่เรียกว่ามีเอกลักษณ์ของความเป็นไทยเด่นชัด ศิลปวัฒนธรรมไทยเหล่านี้มีรากฐานมาจากพระพุทธศาสนาเป็นส่วนใหญ่ ๑๐) พระพุทธศาสนาในฐานะที่ช่วยสร้างความสงบสุขให้แก่โลก พระพุทธศาสนาเป็นรากฐานอารยธรรมที่สำคัญของโลกดังได้กล่าวมาแล้ว พระพุทธศาสนายังช่วยสร้างความสงบสุขให้แก่ชาวโลกได้ หากศึกษาในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนามีทั้งการสร้างสรรค์ อารยธรรมและสันติภาพแก่มวลมนุษย์ นั่นคือ พระพุทธศาสนาเกิดขึ้นในประเทศอินเดียหรือชมพูทวีป พระพุทธศาสนาได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมอินเดีย กล่าวคือสังคมอินเดียเคยนับถือพระพรหมเป็นเทพเจ้าสูงสุด ผู้สร้างผู้บันดาลทุกสิ่ง มีการบูชายัญเทพเจ้า แล้วก็มีการกำหนดมนุษย์เป็นวรรณะต่าง ๆ โดยชาติกำเนิด เป็นกษัตริย์ เป็นพราหมณ์ เป็นแพศย์ เป็นศูทร แล้วก็ถือว่าพราหมณ์เป็นผู้ที่ติดต่อสื่อสารกับเทพเจ้ากับพระพรหม เป็นผู้รู้ความต้องการของพระองค์ เป็นผู้รับเอาคำสอนมารักษา มีการผูกขาดการศึกษาให้อยู่ในวรรณะสูง คนวรรณะต่ำเรียนไม่ได้ เป็นต้น กล่าวโดยสรุป...เมื่อพระพุทธศาสนาเกิดขึ้น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องเหล่านี้อย่างมากมาย เช่น เรื่อง วรรณะ ๔ พระพุทธศาสนาไม่ยอมรับ แต่ให้ถือหลักว่า “คนมิใช่ประเสริฐหรือต่ำทรามเพราะชาติกำเนิด แต่จะประเสริฐหรือต่ำทรามเพราะการกระทำ” แล้วก็ไม่ให้มัวหวังผลจากการอ้อนวอนบูชายัญ สอนให้เปลี่ยนการบูชายัญหรือเลิกการบูชายัญ ให้หันมาหวังผลจากการกระทำ นี่คือการ “ประกาศอิสรภาพของมนุษย์” [๑]พระครูโสภณปริยัติสุธี (ศรีบรรดร ถิรธมฺโม), ทฤษฎีรัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (พะเยา: โรงพิมพ์เจริญอักษร, ๒๕๕๐), หน้า ๑ - ๓. [๒]คูณ โทขันธ์, พุทธศาสนากับสังคมและวัฒนธรรมไทย,(กรุงเทพมหานคร: โอ.เอส.พริ้นติ้ง เฮ้าส์ , ๒๕๔๕), หน้า ๑. [๓]พิทูร มลิวัลย์ และไสว มาลาทอง, ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์การศาสนา, ๒๕๔๒), หน้า ๑. [๔]พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), ความสำคัญของพระพุทธศาสนาในฐานะเป็นศาสนาประจำชาติ, พิมพ์ครั้งที่ ๑๐, (กรุงเทพมหานคร: สหธรรมิก, ๒๕๔๓), หน้า ๙–๑๐.

    พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาเอกของโลกที่มีหลักคำสั่งสอนอันเปรียบเสมือนห้วงมหานทีแห่งสรรพศาสตร์ จึงมิใช่เพียงแค่เป็นปรัชญาหรือทฤษฎีเท่านั้น หากแต่ยังมีเนื้อหาครอบคลุมถึงวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ ความนึกคิดแทบทุกด้านและที่สำคัญพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งการกระทำ (กรรมวาท และกิริยาวาท) เป็นศาสนาแห่งความเพียรพยายาม (วิริยวาท) ไม่ใช่ศาสนาแห่งการอ้อนวอนปรารถนา หรือศาสนาแห่งความห่วงหวังกังวล การสั่งสอนธรรมของพระพุทธเจ้าทรงมุ่งผลในทางปฏิบัติให้ทุกคนจัดการกับชีวิตที่เป็นอยู่จริงๆ ในโลกนี้และเริ่มต้นแต่บัดนี้ คำว่า “พระพุทธศาสตร์” แยกได้เป็น ๓ คำ คือ คำว่า พระ แปลว่าประเสริฐ ดีเลิศ คำว่า พุทธะ แปลว่า ผู้รู้-ผู้ตื่น-ผู้เบิกบานในที่นี้หมายถึงท่านผู้ตรัสรู้อริยสัจ ๔ อย่างถ่องแท้ คำว่า ศาสตร์ แปลว่าความรู้ หรือองค์ความรู้ที่เกิดจากการศึกษาค้นคว้าวิจัย ซึ่งเป็นกิจกรรมของมนุษย์อย่างหนึ่งที่มุ่งอธิบายอย่างเป็นระบบในความที่น่าจะเป็นไปได้ เมื่อรวมกันแล้วได้ความหมายว่าองค์แห่งความรู้ของผู้รู้-ผู้ตื่น-ผู้เบิกบานอย่างประเสริฐ ในบรรดาองค์แห่งความรู้ทั้งหมดนั้นเป็นความรู้ที่พระพุทธเจ้าทรงศึกษาค้นค