โอวาทธรรม หลวงปู่ แหวน สุจิณฺโณ . " การที่จะปฏิบัติให้ถึงโลกุตรธรรมนั้นไม่ใช่ของง่าย ไม่เหมือนจำเอาตามแบบจากตำรา แล้วเอามาพูด คุยกันอวดกัน ศีล สมาธิ ปัญญา นั้น ต้องปฏิบัติทาง ด้านจิตใจให้เป็นผู้รู้เองเห็นเองด้วยตนของตนเอง เริ่มแต่มีอินทรีย์สังวร ขึ้นไป เพราะบรรดากิเลส น้อยใหญ่ เกิดทางอินทรีย์เรานี้ คือทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ความชั่วก็ดี ความดีก็ดี เกิดจากทวารเหล่านี้ เมื่อความชั่วเกิด ต้องมีสติรู้เท่าทัน และป้องกันไม่ให้เกิด ละออกจากจิตใจของเรานี้ เอาจิตเอาใจของเรานี้ละ เอาจิตใจของเรานี้ปล่อย เอาจิตเอาใจของเรานี้วาง จากความชั่วทั้งสิ้น เมื่อปล่อยวางได้ ความชั่วทั้งที่เป็น ส่วนหยาบ ที่เกิดจากกายและวาจา ทั้งที่เป็นส่วน ละเอียดที่ เกิดจากใจ ก็ไม่มี ส่วนที่มันละเอียด เป็นอนุสัย นอนเนื่องอยู่นั่นแหละสำคัญละ มันปล่อยวางมันไม่ได้ง่ายๆ มันมักไม่แสดงตัว มันเก็บตัวของมัน ในส่วนลึกของจิตใจ ถ้าปฏิบัติตน ให้เป็นผู้มีศีล มีสมาธิ เป็นมรรคเครื่องดำเนินไปสู่ ปัญญา ทำศีล ทำสมาธิ ทำ ปัญญา ของตนให้เป็น เอกมรรค เครื่องดำเนินเป็นอันเดียวกันนั่นแหละ จึงจะสามารถมองเห็นส่วนละเอียดที่เป็นอนุสัย ของกิเลสได้ เมื่อศีล สมาธิ ปัญญา เป็นเอกมรรคแล้ว เช่นนี้ จิตที่เป็นส่วนละเอียดที่ทรงตัวอยู่ จะเรียกว่า จิตมีอิทธิบาท หรือมีโพชฌงค์ หรือมีพละ หรือจิต มีมรรค ก็เรียกได้ทั้งนั้น เพราะธรรมเหล่านี้ เกิดขึ้นมา ส่งเสริมซึ่งกันและกัน ในขณะที่จิตที่เป็นไปกับธรรม เมื่อจิตตกสู่กระแสแห่งธรรมแล้ว โลกุตรธรรม อันเป็น ส่วนมรรคก็ดี อันเป็นส่วนผลก็ดี ต้องปฏิบัติจิตใจ ของตนให้เกิด ให้เข้าถึงธรรมเสียก่อน จึงจะพูดได้ ด้วยความอาจหาญ แน่ใจ อธิบายก็อธิบายด้วยความ อาจหาญแน่ใจ "

 โอวาทธรรม หลวงปู่ แหวน สุจิณฺโณ

.
" การที่จะปฏิบัติให้ถึงโลกุตรธรรมนั้นไม่ใช่ของง่าย
ไม่เหมือนจำเอาตามแบบจากตำรา แล้วเอามาพูด
คุยกันอวดกัน ศีล สมาธิ ปัญญา นั้น ต้องปฏิบัติทาง
ด้านจิตใจให้เป็นผู้รู้เองเห็นเองด้วยตนของตนเอง
เริ่มแต่มีอินทรีย์สังวร ขึ้นไป เพราะบรรดากิเลส
น้อยใหญ่ เกิดทางอินทรีย์เรานี้ คือทางตา ทางหู
ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ความชั่วก็ดี
ความดีก็ดี เกิดจากทวารเหล่านี้ เมื่อความชั่วเกิด
ต้องมีสติรู้เท่าทัน และป้องกันไม่ให้เกิด
ละออกจากจิตใจของเรานี้ เอาจิตเอาใจของเรานี้ละ
เอาจิตใจของเรานี้ปล่อย เอาจิตเอาใจของเรานี้วาง
จากความชั่วทั้งสิ้น เมื่อปล่อยวางได้ ความชั่วทั้งที่เป็น
ส่วนหยาบ ที่เกิดจากกายและวาจา ทั้งที่เป็นส่วน
ละเอียดที่ เกิดจากใจ ก็ไม่มี
ส่วนที่มันละเอียด เป็นอนุสัย นอนเนื่องอยู่นั่นแหละสำคัญละ
มันปล่อยวางมันไม่ได้ง่ายๆ มันมักไม่แสดงตัว
มันเก็บตัวของมัน ในส่วนลึกของจิตใจ ถ้าปฏิบัติตน
ให้เป็นผู้มีศีล มีสมาธิ เป็นมรรคเครื่องดำเนินไปสู่
ปัญญา ทำศีล ทำสมาธิ ทำ ปัญญา ของตนให้เป็น
เอกมรรค เครื่องดำเนินเป็นอันเดียวกันนั่นแหละ
จึงจะสามารถมองเห็นส่วนละเอียดที่เป็นอนุสัย
ของกิเลสได้
เมื่อศีล สมาธิ ปัญญา เป็นเอกมรรคแล้ว
เช่นนี้ จิตที่เป็นส่วนละเอียดที่ทรงตัวอยู่ จะเรียกว่า
จิตมีอิทธิบาท หรือมีโพชฌงค์ หรือมีพละ หรือจิต
มีมรรค ก็เรียกได้ทั้งนั้น เพราะธรรมเหล่านี้ เกิดขึ้นมา
ส่งเสริมซึ่งกันและกัน ในขณะที่จิตที่เป็นไปกับธรรม
เมื่อจิตตกสู่กระแสแห่งธรรมแล้ว โลกุตรธรรม อันเป็น
ส่วนมรรคก็ดี อันเป็นส่วนผลก็ดี ต้องปฏิบัติจิตใจ
ของตนให้เกิด ให้เข้าถึงธรรมเสียก่อน จึงจะพูดได้
ด้วยความอาจหาญ แน่ใจ อธิบายก็อธิบายด้วยความ
อาจหาญแน่ใจ "

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

https://www.google.com/imgres?imgurl=http%3A%2F%2Fwww.luangtanarongsak.org%2Fhome%2Fimages%2Fdm-info-63%2FDM-INF-40.jpg&imgrefurl=http%3A%2F%2Fwww.luangtanarongsak.org%2Fhome%2Findex.php%2F2017-10-14-13-20-39%2F2020-02-06-08-06-17%2Fitem%2F5892-08-aug28-63-dama-info-40&tbnid=F7P_hi3CPvv6DM&vet=12ahUKEwjr5ovOh5bwAhUBsksFHfiaAFkQMygMegUIARCXAQ..i&docid=xa7S-l5tpSrtEM&w=1152&h=1536&q=%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%A0%E0%B8%B0&ved=2ahUKEwjr5ovOh5bwAhUBsksFHfiaAFkQMygMegUIARCXAQ